ภาวะเกล็ดเลือดต่ำคืออะไร เกล็ดเลือดคือหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญอย่างหนึ่งของเลือด เราสามารถแยกองค์ประกอบสำคัญของเลือดได้เป็น 4 ส่วนคือ หนึ่งคือเม็ดเลือดแดงซึ่งมีหน้าที่นำอ๊อกซิเจนหล่อเลี้ยงร่างกาย สองคือเม็ดเลือดขาวซึ่งมีหน้าที่ต่อสู้เชื้อโรค สามคือเกล็ดเลือดซึ่งมีหน้าที่ช่วยให้เลือดแข็งตัวเวลามีเลือดออก และสุดท้ายคือน้ำเหลือง
ในภาวะปกติปริมาณเกล็ดเลือดมีประมาณ 150,000-400,00 แผ่นต่อเลือดหนึ่งมิลลิลิตร ถ้าปริมาณต่ำกว่าค่าเฉลี่ยปกติดังกล่าวต้องหาสาเหตุ ซึ่งโรคที่พบบ่อยได้แก่ ไข้เลือดออก ไม่ทราบสาเหตุ จากยา จากสมุนไพร จากการติดเชื้อในกระแสเลือด เป็นต้น ซึ่งแพทย์จะทำการตรวจค้นหาโรคที่เกี่ยวข้อง เพื่อวางแนวทางการรักษา
อัตรายของภาวะเกล็ดเลือดต่ำคือการเลือดออกผิดปกติ ไม่แข็งตัว ทำให้เลือดออกไม่หยุด ถ้าเลือดออกในอวัยวะสำคัญเช่น กระเพาะอาหาร สมอง อาจทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้ โดยทั่วไปความรุนแรงของเลือดออกผิดปกติจะสัมพันธ์กับปริมาณเกล็ดเลือด ถ้าต่ำกว่า 100,000 แผ่นต่อมิลลิลิตร ผู้ป่วยจะเกิดจ้ำเลือดตามตัวได้ง่าย เลือดออดในสมองได้ง่ายถ้าโดนกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ถ้าต่ำกว่า 50,000 แผ่นต่อมิลลิลิตรผู้ป่วยที่มีบาดแผลที่มีเลือดออก เลือดจะหยุดตามะรรมชาติ และถ้าต่ำกว่า 20,000 แผ่นต่อมิลลิตร ผู้ป่วยอาจเกิดเลือดออกเองโดยไม่จำเป็นต้องมีสาเหตุอื่นๆ ในกรณีสุดท้ายต้องได้รับการรักษาโดยด่วน
ภาวะเกล็ดเลือดต่ำ อาการที่บุคคลทั่วไปควรสังเกตและรีบมาพบแพทย์เพื่อตรวจเช็คระดับเกล็ดเลือดได้แก่ การมีพรายย้ำจ้ำเลือดตามตัว การมีประจำเดือนหลายวันผิดไปจากเดิม การมีเลือดตามไรฟัน (https://bit.ly/2Z1Gw6A )
เลือดแข็งตัวสัมพันธ์กับเกล็ดเลือดอย่างไร เลือดเป็นของเหลวที่ไหลเวียนทั่วร่างกาย หากมีการฉีกขาดของหลอดเลือดจะมีเลือดออก เมื่อนั้นร่างกายจะเข้าสู่กระบวนการหยุดเลือดออก เกล็ดเลือดเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการนี้ เกล็ดเลือดจะไปเกาะตัวกันอย่างหลวมๆที่ผิวด้านในของหลอดเลือด ต่อจากนั้นจะการกระตุ้นให้เกิดโปรตีนไฟบริน (Fibrin) เข้าไปทำให้เกาะตัวกันแน่นขึ้น และทำให้เลือดหยุดไหล แต่ทั้งนี้เนื้อเยื้อภายนอกต้องมีความแข็งแรงด้วย เลือดจึงจะหยุดได้ดี ต่อจากนั้นร่างกายจะกำจัดก้อนเลือดที่เกาะกันนั้นออกไป หลอดเลือดก็จะกลับคืนสู่ภาวะปกติ ไม่มีสิ่งอุดตัน
VIDEO
มีอาการเป็นเช่นไร จะมีอาการเลือดออกจากเกล็ดเลือด ทำให้ผิวหนังเป็นจุดแดงๆ กดแล้วไม่หายไป หรือเป็นจ้ำเลือด บางคนเรียกว่า “พรายน้ำ” จ้ำเลือดจะมีสีม่วงปนเหลืองเนื่องจากเม็ดเลือดแดงที่อยู่ในต่ำแหน่งเลือดอออกแตกตัวให้สารสีเหลือง บางคนมีเลือดออกในช่องปาก เหงือก บางคนปัสสาวะหรืออุจจาระเป็นเลือด หรือถ่ายสีดำเหมือนยางมะตอย บางรายมีเลือดออกภายใน ทำให้ช็อค และเสียชีวิตได้
ภาวะโรคเกล็ดเลือดต่ำเกิดจากสาเหตุใด
เกิดจากการสร้างเกล็ดเลือดได้น้อย จากโรคต่างๆ เช่น มะเร็งเม็ดเลือดขาว หรือจากยาที่กดการสร้างเม็ดเลือดที่ไขกระดูก เช่น ยาเคมีบำบัด ยากดภูมิต้านทาน
เกิดจากเกล็ดเลือดถูกทำลาย ด้วยโรคบางชนิด เช่น โรคเอสแอบอี ไข้เลือดออก , ไอทีพี และด้วยยาบางชนิด ที่พบบ่อยคือ ยาเฮพาริน (Heparin) เป็นยาต้านการแข็งตัวของเลือด
เกิดจาการที่เกล็ดเลือดถูกบีบให้ไปอยู่ในที่หนึ่งมากเกินไป ทำให้เกล็ดเลือดในกระแสเลือดลดลง
เกิดจากการใช้เกล็ดเลือดมากเกินไป เนื่องจากภาวะ Dic (Intravascular Coagulation) เป็นภาวะที่มีลิ่มเลือดกระจายไปในหลอดเลือดทั่วร่างกาย ,การติดเชื้อรุนแรง,การช็อก และเนื้อเยื้อขาดออกซิเจน เป็นต้น
เกิดจากปริมาณน้ำในร่างกายมาก (Dilutional Thrombocy Topenia) พบในผู้ป่วยที่ได้รับน้ำเกลือหรือสารน้ำคอลลอยด์มากเกินไป หรือได้รับส่วนประกอบอื่นๆของเลือดในปริมาณมากเช่น ได้รับเม็ดเลือดแดงอย่างเดียว โดยไม่ได้รับเกล็ดเลือดร่วมด้วย
ดูแลตนเองอย่างไรดี เมื่อมีภาวะเกล็ดเลือดต่ำ
ควรระวังการกระแทกแรงๆหรือการทำให้เกิดบาดแผล มีเลือดออก เช่นการแปรงฟันแรงเกินไป หลีกเลี่ยงงานที่มีความเสี่ยง อย่างการทำงานในที่สูง การแข่งรถ เพื่อป้องการการเกิดอุบัติเหตุ เสียเลือด นอกจากนี้เมื่อต้องพบแพทย์ควรแจ้งทุกครั้งว่าตนเองมีภาวะเกล็ดเลือดต่ำ เช่น การถอนฟัน การผ่าตัด ทานยาตามคำแนะนำแพทย์ และหันมาใส่ใจสุขภาพทั้งในเรื่องอาหาร การออกกำลังกายที่พอเหมาะและการพักผ่อน
อาหารที่เหมาะสำหรับผู้ป่วย ต้องการสารอาหารที่ช่วยในการสร้างเลือดคือ
Vitamin E เช่น อาหารทะเล จมูกข้าว ข้าวกล้อง ไข่ เมล็ดพืชและถั่ว
Vitamin K เช่น เครื่องในสัตว์ ผักใบเขียว มันฝรั่ง
Folic Acid or Folate (โฟเลต) เช่น ผลไม้ ถั่วฝัก ผักใบเขียวเข้ม ตับ
Iron (ธาตุเหล็ก) เช่น ตับ ปลา เนื้อแดง แป้งถั่วเหลือง ลูกเกด ถั่วฝัก
อาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระต่างๆ
โรคนี้มีความจำเป็นที่ต้องการรับบริจาคเกล็ดเลือดอย่างมาก หากมีภาวะมาก มีบาลแผล หรือต้องได้รับการผ่าตัด เกล็ดเลือดที่รับการบริจาคต้องมาจากคนอย่างน้อย 6-8 คนจึงจะเพียงพอที่จะไปหยุดเลือดที่ไหลได้ และผู้ป่วยบางรายต้องการเกล็ดเลือดใหม่มาทดแทนทุกๆสัปดาห์ ทุกวันนี้โลหิตที่ได้รับบริจาคไม่เพียงพอต่อจำนวนของผู้ป่วย อยากเชิญชวนไปร่วมกันบริจาคโลหิตตามสถานพยาบาลใกล้บ้านกันคะ การบริจาคโลหิตในแต่ละครั้งจะช่วยต่ออายุผู้ป่วยได้จำนวนไม่น้อยค่ะ (https://bit.ly/30FQ7Rj )
ปัจจัยในการเสี่ยง บางคนอาจจะนึกถึงตอนมีอาการเลือดกำเดาไหลออกมา แต่คงไม่ทราบว่าเกิดจากสาเหตุอะไร บ้างก็ว่าจากความร้อนจนทำให้เส้นฝอยในจมูกแตกจากอากาศที่ร้อนจัด ส่งผลทำให้เลือดออกนานเกิน 15 นาที บางคนอาจจะมีจุดแดงๆ ขึ้นที่บริเวณผิว ซึ่งดูเผินๆคล้ายกับรอยยุงกัด ซึ่งอาการดังกล่าวอาจเป็นการบ่งบอกว่าคุณกำลังเป็นโรค แต่โรคนี้จะมีสาเหตุเกิดมาจากอะไร และจะมีวิธีในการป้องกันโรคได้อย่างไรกันบ้าง
ปัจจัยที่เป็นสาเหตุของการเกิดอาจจะไม่ระบุเป็นที่แน่ชัด แต่มีปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่อาจก่อให้เกิดได้หลายทาง ไม่ว่าจะเป็นการได้รับเชื้อไวรัสบางชนิดเข้าสู่ร่างกาย และมีการฟักตัวจนเกิดเป็นหรือแม้แต่ผู้ที่อยู่ในภาวะโลหิตจาง หรือโรคธาลัสซีเมีย ซึ่งทำให้จำนวนเม็ดเลือดแดงมีลดจำนวนลง ร่างกายมีการเสียเลือดมากจากการเกิดอุบัติ เหตุต่างๆ และผู้ที่มีปัญหาเป็นโรคเกี่ยวกับเลือดต่างๆ อย่างการมีเลือดออกแบบผิดปกติ หรือเป็นโรคซีด หรืออาจจะเกิดจากสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ เต็มไปด้วยมลภาวะในอากาศ แต่โรคนี้อาจเกิดจากกรรมพันธุ์ ที่มีประวัติคนในครอบครัวเคยเป็นมาก่อน
สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการเกล็ดเลือดต่ำ การได้รับสารเคมีบางอย่างจากโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ และการรับประทานอาหารที่มีสารเคมีปะปนอยู่ อีกทั้งผู้ที่ป่วยด้วยโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง หรือระบบน้ำเหลืองต่างๆ ผิดปกติ และผู้ที่อยู่ในภาวะภูมิต้านทานโรคบกพร่อง หรือร่างกายอ่อนแอจนไม่สามารถต่อสู้กับโรคต่างๆ ได้ ยังเกิดขึ้นได้กับผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตต่ำ และเกิดจากเซลล์พลาสม่าที่ผิดปกติ ทำให้ร่างกายไม่สามารถสร้างแอนติบอดี้ได้ เม็ดเลือดแดงเกิดการแตกแบบฉับพลัน ทำให้ภาวะที่ร่างกายขาดธาตุเหล็ก และอาจมีเลือดออกในกระเพาะอาหาร และผู้ที่ป่วยด้วยโรค SLE หรือโรคภูมิคุ้มกันของร่างกายบกพร่อง ฯลฯ
วิธีการป้องกันอันตรายที่เกิดขึ้นจากการเป็นอาการนี้ จะต้องหมั่นระมัดระวังตนเองจากการเกิดอุบัติเหตุต่างๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อภาวะเลือดไหลไม่หยุด และหากต้องการจะทำการถอนฟัน หรือทำการรักษาโรคใดๆ ควรแจ้งแพทย์เสมอว่าตนเป็นและต้องไม่ออกกำลังกายที่เสี่ยงต่อภาวะของการเกิดการกระแทกที่จะทำให้เลือดออกได้ง่าย ซึ่งอาจเปลี่ยนกิจกรรมไปเป็นการว่ายน้ำแทน ที่สำคัญควรรับประทานยาหรือปฏิบัติตามคำสั่งแพทย์ผู้ทำการรักษาอย่างเคร่งครัด